การขนส่งของประเทศไทยในบริบทอาเซียน: ข้อบกพร่อง ต้นทุน และแนวทางปฏิรูปเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

การขนส่งของประเทศไทยในบริบทอาเซียน

1. ภาพรวมการขนส่งของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน มีทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งสามารถเชื่อมโยงระหว่างจีน เมียนมา ลาว และประเทศในกลุ่ม CLMV รวมถึงอ่าวไทยและทะเลอันดามัน อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของระบบขนส่งไทยยังมีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุน ระยะเวลา และการพึ่งพาการขนส่งทางถนนในระดับสูง

ประเทศ ต้นทุนโลจิสติกส์ (% ของ GDP) สัดส่วนการขนส่งทางราง คะแนน LPI (2023)* ความสามารถเชื่อมต่อท่าเรือ
ไทย ~13.9% 2% 3.3 ปานกลาง
เวียดนาม ~14.3% 5% 3.5 สูง
มาเลเซีย ~12.0% 6% 3.7 สูง
อินโดนีเซีย ~21.0% 3% 3.0 ปานกลาง
สิงคโปร์ ~8.5% 0% (ใช้ระบบในเมือง) 4.0 สูงมาก (อันดับ 1 ของอาเซียน)

*LPI = Logistics Performance Index โดยธนาคารโลก (0–5)

2. ปัญหาและข้อบกพร่องของระบบขนส่งไทย

2.1 พึ่งพาการขนส่งทางถนนมากเกินไป (~88%)

  • ทำให้ต้นทุนสูงกว่าการขนส่งทางรางหรือทางเรือ

  • เกิดความแออัด เสี่ยงอุบัติเหตุ และมลพิษสูง

  • ขาดระบบ intermodal transport ที่ไร้รอยต่อ

2.2 ระบบรางยังไม่เชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ระบบรางปัจจุบันยังครอบคลุมจำกัด

  • ไม่มีการขนส่งทางรางเชิงพาณิชย์ที่มีประสิทธิภาพเท่าประเทศอย่างจีนหรือเวียดนาม

2.3 โครงสร้างพื้นฐานทางน้ำและอากาศยังไม่เชื่อมโยงกับโลจิสติกส์ภายในประเทศ

  • ท่าเรือแหลมฉบังยังไม่สามารถแข่งขันกับ Port Klang (มาเลเซีย) หรือ Singapore Port

  • ท่าเรือแม่น้ำ/ท่าเรือภายในประเทศยังไม่ถูกพัฒนาเต็มที่

2.4 ปัญหาด้านกฎหมาย การอนุญาต และระบบราชการ

  • การเคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างจังหวัด/ระหว่างประเทศยังใช้เวลานาน

  • ระบบภาษี ค่าธรรมเนียม และเอกสารซ้ำซ้อน

3. วิเคราะห์ต้นทุนการขนส่งของประเทศไทย

  • ต้นทุนโลจิสติกส์รวม: ~13.9% ของ GDP

  • ต้นทุนการขนส่ง (Transport Cost): คิดเป็น ~60% ของต้นทุนโลจิสติกส์

  • ต้นทุนแฝง เช่น เวลาในการขนส่ง, ความสูญเสียจากอุบัติเหตุ, ค่าพลังงาน, ความล่าช้า

  • เมื่อเทียบกับสิงคโปร์และมาเลเซีย ไทยยังมีต้นทุนการขนส่งสูงกว่ามาก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก

4. แนวทางแก้ไขและคำแนะนำเชิงยุทธศาสตร์

4.1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงรุกแบบบูรณาการ (Integrated Infrastructure Investment)

  • ขยายระบบรางทั้งรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูงเชิงพาณิชย์

  • พัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์เชื่อมโยงท่าเรือ – เขตอุตสาหกรรม – พรมแดน

  • พัฒนา Smart Logistics Park ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ

4.2 ผลักดันการใช้ “Multimodal Transport” เพื่อลดต้นทุน

  • ส่งเสริมการใช้รถไฟ + เรือในเส้นทางภายในและส่งออก

  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น ระบบติดตามการขนส่ง (GPS, IoT)

  • สนับสนุนระบบ Cold Chain Logistics เพื่อสินค้าเกษตรและอาหาร

4.3 ปฏิรูประบบกฎระเบียบและลดต้นทุนแฝง

  • ปรับขั้นตอนการผ่านแดน, ศุลกากร, และพิธีการให้เป็นดิจิทัล

  • ลดภาษีอุปกรณ์ขนส่งสมัยใหม่ เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า

  • พัฒนา Single Window Logistics Platform ระดับชาติ

4.4 ส่งเสริมการขนส่งสีเขียวและยั่งยืน (Green & Sustainable Transport)

  • ส่งเสริมรถบรรทุก EV และไฮโดรเจน

  • พัฒนาเส้นทางขนส่งทางน้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขง

  • บูรณาการ AI เพื่อคาดการณ์ความแออัดและจัดเส้นทางอัตโนมัติ

4.5 เพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการพัฒนาบุคลากรโลจิสติกส์

  • ส่งเสริมหลักสูตร Logistics 4.0

  • ใช้ AI และระบบอัตโนมัติในคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า

  • ส่งเสริมความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน-สถาบันการศึกษา

5. บทสรุป: ระบบขนส่งคือหัวใจของความสามารถในการแข่งขันของชาติ

หากประเทศไทยสามารถปฏิรูประบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย เชื่อมโยงไร้รอยต่อ และยั่งยืน จะสามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงเหลือ 10% ของ GDP ได้ในระยะกลาง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศ และสนับสนุนเป้าหมายการเป็น “ศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียน” ได้อย่างแท้จริง