CBDC ย่อมาจาก Central Bank Digital Currency หรือ เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง เปรียบเสมือนเงินบาทในรูปแบบดิจิทัล ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
CBDC มีคุณสมบัติคล้ายกับเงินบาททั่วไป คือ สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ รักษามูลค่า และเป็นหน่วยวัดทางบัญชี แต่ต่างตรงที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ผู้ใช้สามารถเก็บ CBDC ไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัลบนโทรศัพท์มือถือ โอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน หรือใช้จ่ายผ่านระบบ NFC
เงินบาทดิจิทัล หรือ CBDC แตกต่างจากเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีอื่นๆ และเงินสดอย่างไร ?
CBDC หรือ Central Bank Digital Currency คือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง สามารถใช้เป็นสื่อกลางเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ มีมูลค่าคงที่ และใช้ชำระหนี้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต่างจากคริปโทเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin, Ether ฯลฯ ที่มูลค่ามักผันผวนจากการเก็งกำไร CBDC จึงมีโอกาสถูกใช้ได้โดยประชาชนทั่วไป ไปจนถึงระดับสถาบัน
ข้อดีและข้อเสียของ CBDC
ข้อดีของ CBDC:
- การชำระเงินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ: CBDC ช่วยให้การโอนเงินทำได้รวดเร็วทันใจ ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ
- การชำระเงินที่ปลอดภัย: CBDC ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งมีความปลอดภัยสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรม
- การเข้าถึงบริการทางการเงินที่มากขึ้น: CBDC ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร
- การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ: CBDC ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
- การควบคุมนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพ: CBDC ช่วยให้ธนาคารกลางควบคุมนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อเสียของ CBDC:
- การสูญเสียความเป็นส่วนตัว: CBDC อาจทำให้ธนาคารกลางสามารถติดตามการใช้จ่ายของประชาชนได้
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์: CBDC อาจถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้
- ผลกระทบต่อระบบธนาคารพาณิชย์: CBDC อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์สูญเสียลูกค้า
- ต้นทุนในการพัฒนาและดำเนินการ: CBDC มีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและดำเนินการที่สูง
- ความเสี่ยงด้านกฎหมายและข้อบังคับ: CBDC อาจขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับที่มีอยู่
ผลกระทบของ CBDC ต่อภาคส่วนต่างๆ ดังนี้
การเงินประชาชน:
- การชำระเงินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ: CBDC ช่วยให้การโอนเงินทำได้รวดเร็วทันใจ ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ
- การชำระเงินที่ปลอดภัย: CBDC ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งมีความปลอดภัยสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรม ลดปัญหาด้านการเปิดบัญชีม้า บัญชีปลอม สามารถตรวจสอบได้ง่าย
- การเข้าถึงบริการทางการเงินที่มากขึ้น: CBDC ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร
- การส่งเสริมการออม: CBDC อาจช่วยส่งเสริมการออม เนื่องจากประชาชนสามารถติดตามการใช้จ่ายของตัวเองได้ง่ายขึ้น
การเงินธุรกิจ:
- การชำระเงินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ: CBDC ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับชำระเงินได้รวดเร็วทันใจ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน
- การเข้าถึงตลาดใหม่: CBDC ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบการชำระเงินแบบดั้งเดิม
- การเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน: CBDC ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน โดยช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสินค้าคงคลังและการจัดส่งได้อย่างเรียลไทม์
การเงินรัฐบาล:
- การจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ: CBDC ช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดการเลี่ยงภาษี
- การลดการใช้เงินสด: CBDC ช่วยลดการใช้เงินสด ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการพิมพ์และจัดการเงินสด
- การกระตุ้นเศรษฐกิจ: CBDC ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยช่วยให้รัฐบาลสามารถกระจายเงินช่วยเหลือแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และช่วยเหลือคนได้ถูกต้องตามเป้าหมายตามที่วางแผนไว้
ปัจจุบัน CBDC หรือ Central Bank Digital Currency อยู่ระหว่างศึกษาและทดสอบ CBDC อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ภาคธุรกิจ และประเทศชาติ ข้อดีของมันก็คือการกระจายเงินได้ดียิ่งขึ้น สมมติรัฐบาลมีเงินมาช่วยแก่ประชาชนก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้นแล้วตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะถูกควบคุมโดยรัฐบาล ซึ่งค่อนข้างอันตราย แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าในที่สุดแล้วมันก็คือการอัพเดทระบบ แต่ CBDC จะเป็นการอัพเดทระบบที่ให้ประโยชน์ มันก็เหมือนดาบสองคม มันสามารถสร้างความโปร่งใส สร้างประสิทธิภาพที่มันสูงขึ้น และมันก็จะเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมประชาชนได้ง่าย เช่นกัน ซึ่งกระแสสังคมก็กลับตีกลับว่า CBDC จะเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมข้อมูลของประชาชน และสอดส่องประชาชนได้ง่ายมากขึ้น เก็บภาษีได้มากขึ้น ผู้เขียนมองว่าการตรวจสอบ หรือเสียภาษีให้เท่าเทียมเป็นสิ่งที่ทุกประเทศควรเร่งส่งเสริมต้องทำ “หารายได้มากจ่ายมาก หารายได้มาได้น้อยจ่ายน้อย” ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่รัฐบาลจะต้องเก็บภาษี ให้มันเท่าเทียมมากกว่านี้ และดัชนีความลับทางการเงิน (Financial Secrecy Index) จัดทำโดย Tax Justice Network ในปี 2564 พบว่าไทยติดอันดับ 23 จาก 112 ประเทศ ที่มีความเสี่ยงต่อการฟอกเงินอีกด้วย ทั้งนี้ CBDC ก็จะเป็นเครื่องมืออย่างนึงที่จะช่วยให้รัฐบาลทำงานได้ง่ายขึ้น
อ้างอิง
ธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.bot.or.th/th/financial-innovation/digital-finance/central-bank-digital-currency/benefitofCBDC/bangkhunphromproject.html#accordion-05ce7a211a-item-f86805c349
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย :
https://www.efinancethai.com/Fintech/FintechMain.aspx?release=y&name=ft_202206091407