ความสำคัญของโลจิสติกส์ทางการทหาร (The Importance of Military Logistics)
นายพล Omar Bradley แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกาเคยกล่าวไว้ว่า “Amateurs talk about tactics, but professionals study logistics.” (มือสมัครเล่นถนัดคุยเรื่องยุทธวิธี แต่เหล่ามืออาชีพศึกษาเรื่องการส่งกำลังบำรุง) วาทะกรรมนี้ยังคงเป็นจริงและสะท้อนหัวใจของการปฏิบัติการทางทหารทุกยุคทุกสมัย โลจิสติกส์ทางการทหาร หรือที่รู้จักกันในนาม “การส่งกำลังบำรุง” ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การขนส่งยุทโธปกรณ์จากจุด A ไปยังจุด B แต่มันคือศาสตร์และศิลป์ในการวางแผนและดำเนินการเคลื่อนย้ายกำลังพล การดำรงสภาพ และการซ่อมบำรุงของกองทัพ เพื่อให้บรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างสมบูรณ์
Figure 1 https://en.wikipedia.org/wiki/Omar_Bradley
หากเปรียบกองทัพเป็น “กำปั้น” ที่ใช้ในการต่อสู้ โลจิสติกส์ก็คือ “แขน” ทั้งหมดที่ส่งผ่านพละกำลัง ความแข็งแกร่ง และความทนทานไปยังกำปั้นนั้น กำปั้นที่ปราศจากแขนที่แข็งแรงย่อมไร้ซึ่งอำนาจในการทำลายล้างฉันใด กองทัพที่ปราศจากระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพก็ย่อมไม่สามารถทำการรบได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิผลฉันนั้น
Figure 2 : https://supplychainmanagementedu.org/industry-specialties/department-of-defense/
องค์ประกอบหลักของโลจิสติกส์ทางการทหารครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลายและซับซ้อน
• การจัดหา (Procurement): การเสาะแสวงหาและจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์ อาวุธ เสบียง และบริการที่จำเป็น
• การขนส่ง (Transportation): การเคลื่อนย้ายกำลังพลและสิ่งอุปกรณ์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ
• การจัดเก็บและแจกจ่าย (Warehousing and Distribution): การบริหารจัดการคลังพัสดุ การควบคุมปริมาณสินค้าคงคลัง และการกระจายสิ่งอุปกรณ์ไปยังหน่วยต่างๆ ที่ต้องการ
• การซ่อมบำรุง (Maintenance): การรักษาสภาพยุทโธปกรณ์ให้อยู่ในสถานะพร้อมรบสูงสุด รวมถึงการซ่อมแซมเมื่อเกิดความเสียหาย
• การบริการทางการแพทย์ (Medical Services): การดูแลรักษาพยาบาลและการส่งกลับสายแพทย์
• การบริการในสนาม (Field Services): การจัดหาอาหาร น้ำดื่ม ที่พัก และบริการอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของกำลังพล
โดยสรุป โลจิสติกส์คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงกองทัพ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของปฏิบัติการทางทหารมักจะถูกตัดสินจากประสิทธิภาพของโซ่อุปทานที่อยู่เบื้องหลังแนวรบ หน่วยรบที่มีอาวุธทันสมัยที่สุดในโลกก็อาจพ่ายแพ้ได้ หากขาดแคลนกระสุน เชื้อเพลิง หรืออาหารแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ดังนั้น การศึกษาและพัฒนาระบบโลจิสติกส์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงของชาติ
กองทัพภาคที่ 2: ปราการเหล็กแห่งอีสาน
กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) คือหนึ่งในสี่กองทัพภาคของกองทัพบกไทย มีกองบัญชาการตั้งอยู่ที่ค่ายสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2491 และถือเป็นหน่วยกำลังรบหลักที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่งในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศในพื้นที่ภาคะวันออกเฉียงหนือ หรือ “ภาคอีสาน” ทั้งหมด 20 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครพนม, นครราชสีมา, บึงกาฬ, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, เลย, ศรีสะเกษ, สกลนคร, สุรินทร์, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อำนาจเจริญ, อุดรธานี และอุบลราชธานี
ภารกิจและพื้นที่รับผิดชอบ:
ภารกิจหลักของกองทัพภาคที่ 2 คือการป้องกันประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเฝ้าระวังและพิทักษ์แนวชายแดนที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีความยาวรวมกันหลายร้อยกิโลเมตร พื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่ที่ราบสูงโคราช เทือกเขาพนมดงรัก เทือกเขาภูพาน ไปจนถึงที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูล-ชี ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ซับซ้อนนี้ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนทางยุทธวิธีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งกำลังบำรุง
นอกเหนือจากภารกิจการป้องกันประเทศแล้ว กองทัพภาคที่ 2 ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน การช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ การปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการดำเนินโครงการพัฒนาต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งสะท้อนถึงบทบาท “ทหารของประชาชน” ได้อย่างชัดเจน
โครงสร้างหน่วยและกำลังรบ:
กองทัพภาคที่ 2 ประกอบด้วยหน่วยกำลังรบหลักที่สำคัญ ได้แก่:
• กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3)
• กองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6)
• กองพลทหารม้าที่ 3 (พล.ม.3)
• กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 (บชร.2) ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักด้านการส่งกำลังบำรุงของกองทัพภาค
• มณฑลทหารบก (มทบ.) ในจังหวัดหลักต่างๆ
• หน่วยสนับสนุนการรบและหน่วยพัฒนาอื่นๆ
ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และภารกิจที่หลากหลาย กองทัพภาคที่ 2 จึงเปรียบเสมือน “ปราการเหล็กแห่งอีสาน” ที่ต้องมีความพร้อมรบสูงสุดตลอดเวลา ความพร้อมรบนี้ไม่ได้วัดกันที่จำนวนกำลังพลหรือความทันสมัยของอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในการส่งกำลังบำรุงที่สามารถสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจได้อย่างต่อเนื่องและทันท่วงที ไม่ว่าจะในสภาวะปกติหรือในสถานการณ์วิกฤตก็ตาม
การประยุกต์ใช้โลจิสติกส์และโซ่อุปทานในการเคลื่อนย้ายกำลังของกองทัพภาคที่ 2
ในสถานการณ์สมมติที่กองทัพภาคที่ 2 ต้องเผชิญกับความตึงเครียดบริเวณชายแดน และจำเป็นต้องทำการเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ รถถัง อาหาร และเสบียงเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการแนวหน้าด้วยตนเองอย่างเร่งด่วน การวางแผนด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานจะมีลักษณะเป็นขั้นตอนที่บูรณาการกันอย่างเป็นระบบ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: การวางแผนและบูรณาการข้อมูล (Planning & Information Integration)
ก่อนที่ล้อรถคันแรกจะเริ่มหมุน “ศูนย์ปฏิบัติการด้านการส่งกำลังบำรุง (Logistics Operations Center – LOC)” ของกองบัญชาการช่วยรบที่ 2 (บชร.2) จะทำงานอย่างหนักเพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากทุกหน่วย
การพยากรณ์ความต้องการ (Demand Forecasting): ระบบ C4I (Command, Control, Communications, Computers, and Intelligence) จะถูกใช้เพื่อประเมินความต้องการของหน่วยรบในพื้นที่ ทั้งในด้านปริมาณและประเภทของสิ่งอุปกรณ์ เช่น
- o Class I (เสบียง): คำนวณจากจำนวนกำลังพล x อัตราการบริโภคต่อวัน
- o Class III (เชื้อเพลิง): คำนวณจากประเภทและจำนวนยานยนต์/รถถัง x ระยะทางปฏิบัติการ x อัตราสิ้นเปลือง
- o Class V (วัตถุระเบิด/กระสุน): คำนวณตามแผนการยิงสนับสนุนและอัตราการใช้กระสุนของอาวุธแต่ละชนิด
การบริหารข้อมูล (Information Management): ข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวมศูนย์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่คลังพัสดุส่วนกลางไปจนถึงหน่วยใช้ปลายทาง ทำให้สามารถจัดลำดับความสำคัญในการขนส่งได้อย่างแม่นยำ
ขั้นตอนที่ 2: การบริหารคลังพัสดุและการเตรียมการ (Warehouse Management & Preparation)
สิ่งอุปกรณ์ทั้งหมดไม่ได้ถูกเก็บไว้ที่เดียว แต่จะถูกกระจายจัดเก็บตามหลักยุทธศาสตร์
คลังยุทโธปกรณ์หลัก (Main Depot): ตั้งอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยส่วนหลัง เช่น ภายในค่ายสุรนารี หรือพื้นที่ใกล้เคียง เป็นที่เก็บยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่และสิ่งอุปกรณ์คงคลังจำนวนมาก
พื้นที่สนับสนุนทางการช่วยรบส่วนหน้า (Forward Logistics Support Area – LSA): จะถูกจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ปฏิบัติการ เป็นจุดพักและกระจายสิ่งอุปกรณ์ต่อไปยังหน่วยแนวหน้า เพื่อลดระยะเวลาในการขนส่งเที่ยวสุดท้าย
การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Management): ใช้หลักการ FIFO (First-In, First-Out) สำหรับเสบียงและเวชภัณฑ์เพื่อป้องกันการหมดอายุ และมีการกำหนด Safety Stock หรือพัสดุคงคลังสำรองใน LSA เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือการขนส่งที่อาจล่าช้า
ขั้นตอนที่ 3: การขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation)
การเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ที่มีความหลากหลายทั้งขนาดและน้ำหนัก จำเป็นต้องอาศัยการขนส่งหลายรูปแบบประกอบกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การขนส่งทางถนน (Road Transport): เป็นรูปแบบหลักและมีความยืดหยุ่นสูงสุด
- รถถังและยานเกราะหนัก: จะถูกบรรทุกบน รถบรรทุกชานต่ำ (Heavy Equipment Transporter – HET) เพื่อลดความเสียหายของพื้นผิวถนนและตัวยานเกราะเอง เคลื่อนที่เป็นขบวนในเวลากลางคืนเพื่อลดผลกระทบต่อการจราจรของพลเรือนและเพื่อเป็นการพรางตาo อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียง: ใช้รถบรรทุกทางทหาร จัดเป็นขบวน มีการวางแผนเส้นทางหลักและเส้นทางรอง มีหน่วยสารวัตรทหารนำและปิดท้ายขบวน พร้อมหน่วยคุ้มกัน
- เส้นทางยุทธศาสตร์: ใช้ถนนสายหลัก เช่น ถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) และ ถนนสุรนารายณ์ (ทางหลวงหมายเลข 205) เป็นแกนหลักในการเคลื่อนย้ายจากนครราชสีมา ไปยังจังหวัดชายแดน เช่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
การขนส่งทางราง (Rail Transport): เหมาะสำหรับการขนส่งยุทโธปกรณ์หนักและสิ่งอุปกรณ์ปริมาณมากในระยะทางไกล
กองทัพจะประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อใช้เส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ บรรทุกรถถัง ปืนใหญ่ และตู้คอนเทนเนอร์บรรจุเสบียงและกระสุนไปยังสถานีปลายทางในจังหวัดชายแดน เช่น สถานีอุบลราชธานี หรือสถานีสุรินทร์ จากนั้นจึงใช้รถบรรทุกในการขนส่งต่อ (Last-Mile Delivery) ไปยัง LSA “Last Mile Logistics” และ “Reverse Logistics”: หัวใจสู่ชัยชนะ
ความท้าทายที่สุดของการส่งกำลังบำรุงคือ “การขนส่งเที่ยวสุดท้าย (Last Mile Logistics)” ซึ่งคือการนำส่งสิ่งอุปกรณ์จาก LSA ไปยังหน่วยรบที่ปะทะกับข้าศึกโดยตรง พื้นที่ส่วนนี้มักเป็นพื้นที่อันตรายและเข้าถึงได้ยาก กองทัพภาคที่ 2 จะใช้ยุทธวิธีดังนี้
- ใช้ยานพาหนะขนาดเล็กและมีความคล่องตัวสูง: เช่น รถยนต์บรรทุกทางยุทธวิธีขนาดเล็ก เพื่อลำเลียงกระสุนและอาหารเข้าไปในพื้นที่ที่รถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าไม่ถึง
- การส่งกำลังบำรุงในเวลากลางคืน: เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจจับและโจมตี
- การประยุกต์ใช้หลักการ Just-in-Time (JIT): หน่วยรบจะร้องขอสิ่งอุปกรณ์เมื่อต้องการใช้จริงๆ เพื่อลดภาระการจัดเก็บในแนวหน้าซึ่งมีความเสี่ยงสูง วิธีนี้ต้องการระบบการสื่อสารและการตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำจากส่วนหลัง ในขณะเดียวกัน “โลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics)” ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
- การส่งกลับสายแพทย์: การลำเลียงทหารที่บาดเจ็บจากแนวหน้ากลับมายังโรงพยาบาลสนามใน LSA หรือโรงพยาบาลค่ายในส่วนหลังอย่างเป็นระบบและรวดเร็วที่สุด
Figure 4 www.istockphoto.com
- • การซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์: ยานเกราะหรือรถยนต์ที่เสียหายจะถูกลากกลับมายังหน่วยซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ หากเสียหายหนักจะถูกส่งกลับไปซ่อมที่โรงซ่อมขนาดใหญ่ในส่วนหลัง
- การจัดการของเสียและยุทโธปกรณ์ที่ใช้แล้ว: เช่น ปลอกกระสุน จะถูกรวบรวมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่หรือทำลายอย่างถูกวิธี
ด้วยการบูรณาการกระบวนการทั้งหมดนี้ โซ่อุปทานของกองทัพภาคที่ 2 จะกลายเป็นระบบนิเวศที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง สามารถตอบสนองต่อความต้องการของหน่วยรบได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดในสนามรบ
จากสถานการณ์ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นในช่วงกลางปี 2568 กองทัพภาคที่ 2 ได้ใช้ขีดความสามารถด้านการส่งกำลังบำรุงที่ได้วางแผนและซักซ้อมไว้อย่างเต็มศักยภาพ สามารถสรุปได้ดังนี้ - ความต่อเนื่องในการยิงสนับสนุน: หน่วยทหารปืนใหญ่สามารถทำการยิงสนับสนุนหน่วยทหารราบได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกลำเลียงมาเติมอย่างสม่ำเสมอจาก LSA ตามหลักการ JIT ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถรวมกำลังเพื่อเจาะแนวป้องกันได้สำเร็จ
- ความพร้อมรบของหน่วยยานเกราะ: กองพลทหารม้าสามารถปฏิบัติการรบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รถถังและยานเกราะมีอัตราความพร้อมรบสูง เนื่องจากเชื้อเพลิงและชิ้นส่วนซ่อมที่จำเป็นถูกส่งมาถึงหน่วยซ่อมบำรุงส่วนหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถนำยานเกราะที่เสียหายเล็กน้อยกลับเข้าสู่สนามรบได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- ขวัญและกำลังใจของกำลังพล: กำลังพลในแนวหน้าได้รับเสบียงอาหารที่สดใหม่และเพียงพอ รวมถึงการดูแลทางการแพทย์ที่ทั่วถึง ทหารที่บาดเจ็บจะถูกส่งกลับสายแพทย์อย่างรวดเร็ว ปัจจัยเหล่านี้ช่วยรักษาสภาพร่างกายและจิตใจของกำลังพลให้มีขวัญกำลังใจในการสู้รบสูงอยู่เสมอ
ในทางกลับกัน ฝ่ายตรงข้ามเริ่มประสบปัญหาสายการส่งกำลังบำรุงที่ยาวและถูกรบกวนจากการปฏิบัติการของไทย ทำให้หน่วยรบในแนวหน้าเริ่มขาดแคลนกระสุน เชื้อเพลิง และเสบียง อำนาจการยิงและความต่อเนื่องในการบุกเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด กองทัพภาคที่ 2 ประสบความสำเร็จในการยับยั้งการรุกของฝ่ายตรงข้ามและรักษาอธิปไตยของชาติไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ชัยชนะในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากยุทธวิธีที่เหนือกว่าเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ชัยชนะด้านโลจิสติกส์” ที่ทำให้กองทัพสามารถดำรงอำนาจการรบได้อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าฝ่ายตรงข้าม จนบีบให้การรุกต้องหยุดชะงักและนำไปสู่การเจรจาในที่สุด
บทสรุป
จากกรณีศึกษาการปฏิบัติการสมมติของกองทัพภาคที่ 2 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โลจิสติกส์และโซ่อุปทานไม่ใช่เพียง “หน่วยสนับสนุน” แต่เป็น “ขีดความสามารถหลัก” ที่มีความสำคัญทัดเทียมกับการปฏิบัติการรบโดยตรง กองทัพที่ทันสมัยไม่สามารถพึ่งพายุทธวิธีหรือเทคโนโลยีอาวุธเพียงอย่างเดียวเพื่อรับประกันชัยชนะได้อีกต่อไป
การวางแผนที่บูรณาการข้อมูลอย่างเป็นระบบ, การบริหารจัดการคลังพัสดุอย่างมีกลยุทธ์, ความสามารถในการใช้การขนส่งหลายรูปแบบได้อย่างคล่องตัว, และการให้ความสำคัญกับ “Last Mile Logistics” และ “Reverse Logistics” คือองค์ประกอบสำคัญที่ประกอบกันขึ้นเป็นโซ่อุปทานทางการทหารที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น
กองทัพภาคที่ 2 ในฐานะปราการเหล็กแห่งอีสาน ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการประยุกต์ใช้หลักการโลจิสติกส์สมัยใหม่เข้ากับบริบททางภูมิศาสตร์และภัยคุกคามในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ความสำเร็จในการปกป้องอธิปไตยไม่ได้ถูกตัดสินกันที่แนวปะทะเพียงอย่างเดียว แต่ถูกหล่อหลอมขึ้นจากเบื้องหลัง ณ คลังพัสดุ บนเส้นทางลำเลียง และในศูนย์ปฏิบัติการด้านการส่งกำลังบำรุง ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ในสมรภูมิแห่งอนาคต การต่อสู้ที่แท้จริงอาจเป็นการต่อสู้ระหว่างโซ่อุปทานของแต่ละฝ่าย และผู้ที่มีระบบโลจิสติกส์ที่เหนือกว่า ย่อมเป็นผู้กุมความได้เปรียบและเข้าใกล้ชัยชนะได้มากกว่าเสมอ
Figure 5 https://www.bangkokbiznews.com/politics/1191480
บทความโดย ผศ.ดร ธนภัทร ขาววิเศษ สาขาวิชาการจัดการ คณะบริหารธุรกิจฯ มทร.สุวรรณภูมิ
________________________________________
บรรณานุกรม
- กองทัพภาคที่ 2. (2568). ประวัติหน่วย. สืบค้นจาก https://web.army2.mi.th/history2/
- กองทัพบก. (2568). หน่วยขึ้นตรงกองทัพบก. สืบค้นจาก https://www.rta.mi.th/
- การรถไฟแห่งประเทศไทย. (2568). กำหนดเวลาเดินรถ – สายตะวันออกเฉียงเหนือ. สืบค้นจาก https://ttsview.railway.co.th/
- กรมทางหลวง. (2568). โครงข่ายทางหลวง. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมหลักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2568). การส่งกำลังบำรุงทางทหาร. สืบค้นจาก https://th.wikipedia.org/wiki/การส่งกำลังบำรุงทางทหาร
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2568). กองทัพภาคที่ 2. สืบค้น จาก https://th.wikipedia.org/wiki/กองทัพภาคที่_2
- Huston, J. A. (1966). The Sinews of War: Army Logistics, 1775–1953. United States Army. (เอกสารอ้างอิงเชิงหลักการ)
- Packhai Fulfillment. (2567). โลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) คืออะไร?. สืบค้นจาก https://packhai.com/reverse-logistics/